ジェイ・スミス JAYSMITHSHOP
HOME
PROMOTION
PRODUCT
Order Tires
MARKETING
สาระความรู้ต่างๆของสินค้า
CONTACT
QUICK SHIFTER
SHIFT KNOB
Energy Bushing
ASIMO
TIRES
SSR WHEELS
ความรู้เรื่องเติมลมยางรถยนต์
ความรู้เรื่องน้ำมันเครื่องรถยนต์
ความรู้เรื่องล้อแม็คและน๊อต
ความรู้เกี่ยวกับการโอนรถ
ความรู้รอบตัวเกี่ยวกับรถยนต์
ความรู้เรื่องยางรถยนต์
ความรู้เรื่องแบตเตอรี่รถยนต์
ความรู้เรื่องการล้างรถ รักษาสีรถยนต์
ความรู้เรื่องประกันภัยรถยนต์
เล่าเรื่องราว สบู่ ซาวอน เดอ มาร์เซย์
สรรพคุณสบู่ 10ประการ
NEWS
List
ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่หลายๆคนมองข้ามไป นั่นคือ
"การเติมลมยาง"
การขับขี่รถยนต์ให้นุ่มนวลนั้น ต้องอาศัยยางรถยนต์ที่เหมาะสม และเหนือไปกว่านั้นต้องรู้เรื่องการเติมลมยาง เป็นสำคัญด้วย หากเราเติมลมยางไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดผลเสียกับยาง ความนุ่มนวลในการขับขี่ และอาจเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้เช่นกันครับ
ความดันลมยางสำคัญอย่างไร
ยางรถยนต์เปรียบเสมือนเกราะกันกระแทกระหว่างรถยนต์ และพื้นถนน เพื่อให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้ ยางทุกเส้นจึงต้องได้รับการเติมลมก่อนใช้งานและควรรักษาระดับความดันลมยางให้ไกล้เคียงกับที่โรงงานผู้ผลิตกำหนด อย่างไรก็ตามความดันลมยางจะลดลงหลังจากการใช้งาน ดังนั้นจึงควรเช็คระดับความดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานของยางรถคุณ
เติมลมเมื่อยางเย็น
ควรเช็คลมยางในขณะที่ยางเย็น หรือก่อนการใช้งาน ทั้งนี้เมื่อล้อเริ่มหมุนยางจะเกิดการเปลี่ยนรูป ทำให้อากาศภายในเกิดการเคลื่อนไหวจนทำให้เกิดความร้อนขึ้น อากาศภายในยางขยายตัวความดันลมจะเพิ่มสูงขึ้นในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเติมลมหลังใช้งานแล้ว การเติมลมเพิ่มขึ้นอีก 2 ปอนด์เพื่อชดเชยความดันอากาศที่ขยายตัว
ใส่ฝาวาล์วยางให้สนิท
ควรตรวจเช็คฝาวาล์วยางให้สนิท เพื่อป้องกันเศษผง ฝุ่น หรือความชื้นซึมผ่านเข้าภายในยาง ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อยางรถยนต์ได้
การสูบลมยาง
1.ตรวจเช็คลมยางขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือในช่วงเวลาก่อนออกเดินทางและปรับแต่งให้ถูกต้องตามอัตราที่โรงงาผู้ผลิตรถยนต์กำหนดเป็นประจำ
2.ในกรณียางใหม่ ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยางให้มากกว่าปกติ (ในช่วง 3,000 กม. แรก) เนื่องจากโครงยางในช่วงนี้จะมีการขยายตัวทำให้ความดันลมยางลดลง
3.ห้ามปล่อยลมยางออก เมื่อความดันลมยางสูงขึ้นในขณะกำลังใช้งานเพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะที่ใช้งานเป็นตัวทำให้ความดันลมภายในยางสูงขึ้น
4.เพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว ควรเปลี่ยนวาล์ว และแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลา
5.สำหรับยางอะไหล่ ให้ตรวจเช็คลมยางให้ถูกต้องทุกครั้งอยู่เสมอ
6.ในกรณีรถเก๋งที่ขับด้วยความเร็วสูง ให้เติมลมยางให้มากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
ตรวจเช็คความดันลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ควรตรวจเช็คความดันลมยางของรถ ให้อยู่ระดับที่ผู้ผลิตกำหนดเพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนได้อย่างสม่ำเสมอ โดยปกติโรงงานประกอบรถยนต์จะระบุระดับความดันลมยางที่เหมาะสมกับรถไว้บนแผ่นโลหะบริเวณขอบประตูหรือกำหนดในคู่มือประจำรถ การเติมลมยางที่ถูกต้องนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานได้แก่รถคุณด้วย นอกจากนี้การเติมรถยางที่ไม่เท่ากัน จะส่งผลให้รถยนต์เสียการทรงตัวเมื่อเบรคหยุดหรือเร่งความเร็ว หรือรถถูกดึงไปด้านใดด้านหนึ่งขณะขับและทำให้ยางสึกไม่เท่ากันด้วย
การเติมลมยางมากเกินไป
ทำให้หน้าสัมผัสของยางกับพื้นผิวถนนลดลง ดอกยางบริเวณกลางจะสึกมากกว่าด้านข้างทั้งสอง และเนื่องจากความยืดหยุ่นของยางลดลงทำให้โครงสร้างผ้าใบเสียหายได้ง่าย และยังทำให้รถกระดอนเมื่อวิ่งบนถนนขรุขระ
การเติมลมยางน้อยไป
ทำให้ดอกยางไม่เรียบ โดยดอกยางบริเวณไหล่ยางจะสึกเร็วกว่าบริเวณกลางยาง เกิดความร้อนสูงขณะยางเปลี่ยนรูปและแรงกระแทกจะทำให้โครงสร้างผ้าใบเสียหาย และไม่สามารถคืนกลับสภาพเดิม
กรณีสูบลมยางน้อยกว่ากำหนด (TIP)
- อายุยางลดลง
- บริเวณไหล่ยางจะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ๆ
- เกิดความร้อนสูงที่บริเวณไหล่ยาง ทำให้ผ้าใบหรือเนื้อยางไหม้แยกออกจากัน
- โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาด หรือหักได้
- สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
- เนื้อยางบริเวณหน้ายางจะฉีกขาดได้ง่าย ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงมากกว่า 100 กม./ชม.
กรณีสูบลมยางมากกว่ากำหนด
- เกิดการลื่นไถลได้ง่าย เนื่องจากพื้นที่การยึดเกาะถนนลดลง
- โครงยางระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกของมีคมตำเนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อยดอกยางจึงสึก บริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่น ๆ
- อายุยางลดลง
- ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง
เช็คลมยางอย่างไรให้ถูกต้อง
ลมยางจะลดลงโดยตัวมันเองประมาณ 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วต่อเดือน ดังนั้นจึงควรเช็คลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง ขณะที่ยางยังเย็นอยู่ โดยเติมลมยางตามคู่มือรถแต่ละคันที่ติดอยู่ที่ข้างประตูรถ
การบรรทุกของหนัก
น้ำหนักบรรทุกมีผลอย่งมากต่ออายุของยาง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องควบคุมน้ำหนักบรรทุกให้มีความสัมพันธ์กับความดันลมภายในยาง และไม่ควรเติมความดันลมยางให้มากกว่าที่กำหนด เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักของยางให้มากขึ้น เพราะการเพิ่มความดันลมยางมากขึ้นจะมีผลต่อยางดังที่กล่าวมาแล้ว
ในกรณีที่บรรทุกน้ำหนักเกินอัตรา
โครงยางบริเวณแก้มยาง หรือขอบยางหักหรือระเบิดได้ง่ายเนื่องจากรับน้ำหนักที่กดลงมาไม่ไหว ความร้อนภายในยางจะเกิดขึ้นสูงมาก ทำให้การยึดเกาะระหว่างเนื้อยางกับโครงยางลดลง และแยกออกจากกันได้ง่าย การเคลื่อนไหวของหน้ายางมีมาก ทำให้ยางสึกหรอเร็ว และทำให้อายุยางลดลง
การสลับตำแหน่งยาง
ยางรถยนต์จะเกิดการสึกหรอไม่เท่ากันทุกเส้น โดยมีสาเหตุจาก
- สภาพรถ
- สภาพผิวถนน
- ศูนย์ล้อ
- การหักเลี้ยวของรถ
- การสูบลมยาง
- ตำแหน่งยาง
- ลักษณะการขับขี่
- ฤดูกาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งล้อหน้าจะเกิดการสึกผิดปกติของดอกยางง่ายที่สุด ดังนั้น เพื่อให้ยางมีอายุการใช้งานได้นาน ควรสลับตำแหน่งยางอยู่เสมอ (ยางเรเดียล ควรสลับตำแหน่งยางทุก 10,000 กม.)
ข้อควรจำ
ความแตกต่างของแรงดันลมเพียง 1 ก.ก./ซ.ม.2 หรือ 14 ปอนด์/ตร.นิ้ว จะรับน้ำหนักต่างกันถึง 400 ก.ก. ถ้าแรงดันลมต่างกัน 2 ก.ก./ซ.ม.2 หรือ 28 ปอนด์/ตร.นิ้ว จะรับน้ำหนักต่างกันถึง 800 ก.ก. ในกรณีแรงดันลมต่างกัน 2 ก.ก./ซ.ม.2 หรือ 28 ปอนด์/ตร.นิ้ว ยางเส้นที่เติมลมมาก จะมีอายุใช้งานเพียง 70% เส้นที่ลมยางอ่อนจะมีอายุการใช้งานเหลือเพียง 45% การเติมลมให้เท่ากันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ผมหวังว่าบทความนี้ จะช่วยท่านผู้อ่านทุกท่านในเรื่องของการเติมลมยางให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เพื่อความประหยัด การขับขี่ที่นุ่มนวล แสนสบาย และเหนือสิ่งอื่นใด คือ ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของท่านผู้อ่านเองครับ
Make a
free website
with
Yola